2552/05/04

พลังแห่งมวลชน กับกาลเวลาที่หายไป

五四运动
การเคลื่นไหวทางการเมืองครั้งสำคัญในประเทศจีนของนักศึกษาและประชาชน

4 พ.ค. วันนี้ หน้ากวางหัวโหลในมหาลัย ฟูตั้น มีการจัดโชว์รูปวาดเพื่อเป็นการละลึกถึงวันสำคัญ เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ การเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลครั้งสำคัญของนักศึกษาและประชาชน ด้วยเหตุผลของความรักชาติ และร่วมมือกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศจากน้ำมือนักการเมือง รัฐบาลที่อ่อนแอ และต่างชาติที่รุกราน เหตุการณ์ในตอนนั้นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเป็นแกนนำลุกขึ้นต่อสู้ เรียกร้องและกระตุ้นเตือนคนในประเทศให้ตื่นตัว และรับรู้ความจริงของประเทศ
หลายสิบปีผ่านไป สถานการณ์หลายๆ อย่างเปลี่ยนแปลงไป รัฐบาล การเมือง สภาพสังคม ไม่เอื้อให้ประวัติศสาตร์ซ้ำรอยอีกแล้ว นักศึกษาไม่ใช่ผู้นำทางความคิด หรือผู้ที่จะปลุกใ้ห้ประชาชนได้ตื่นรู้ความจริงของสังคมอีกแล้ว ตอนนี้นักศึกษา กลุ่มคนที่ได้รับการศึกษามากที่สุด แต่กลับแลดูเหมือนว่าจะกลายเป็นกลุ่มใหญ่ที่โง่ และตาบอดที่สุดในปัจจุบัน นักศึกษากลายเป็นเพียงกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่รักความสนุกสนาน คิดถึงแต่อนาคตตัวเอง และเตรียมตัวเพียงเพื่อจะกลายไปเป็นผู้ใหญ่ที่เห็นแก่ตัวในสังคม ไม่รู้ว่าเราเองจะตัดสินวัยรุ่นจีนดูแย่เกินไปหรือเปล่า แต่ในสภาพสังคมที่เรามองดู ลักษณะการศึกษาจีนไม่ได้เอื้อ หรือ จุดประกายให้นักเรียนได้กล้าคิดต่าง หรือ พูดง่ายๆว่า กล้าหือ ! กับรัฐบาล หรือ นโยบายของรัฐ มันอาจจะมีปัจจัยหลายๆด้านที่ทำให้ นักศึกษา ผู้มีการศึกษา เปลี่ยนบทบาทไปจากสังคมจีน แต่เหตุผลสำคัญก็คงเป็นเรื่องของรัฐ เรื่องของการเมือง และอำนาจของพรรคคอมมิวนิส ที่แอบแฝงอยู่ในชั้นเรียน แม้แต่ตัวนักศึกษาเอง หลายคนก็เลือกที่จะสมัครเป็นสมาชิกของพรรคตั้งแต่ยังคงเป็นสภาพนักศึกษา เพียงเพื่อเหตุผลว่า มันเป็นบันไดที่ทำให้ตัวเองได้หางานได้ง่ายขึ้น ได้รับอภิสิทธ์ทางสังคมเหนือกว่าคนอื่น การแข่งขันทางสังคม ผลักดันให้คนเห็นแก่ตัวตตั่งแต่ในรั่วมหาลัย ไม่รู้ว่า ความฝัน สังคมแห่งความ " 和谐" " Harmony " มันจะเป็นจริงได้เมื่อไหร่ ในเมื่อรากของสังคมลึกลึก มันก็ปลูกฝั่งความไม่เท่าเทียมอยู่แล้ว

กลับมามองสังคมไทย รั่วมหาลัยไทย มีอะไรหลายๆ อย่างที่คล้ายคลึงกัน เราเคยมีประวัติศาสตร์ที่มีนักศึกษาเป็นผู้นำในการลุกขึ้นเรียกร้อง และปลุกประชาชนให้ตื่นขึ้นรับรู้และต่้อสู้เพื่อประเทศชาติ เรื่องราวยังคงเป็นที่กล่าวขาน .. แต่...แค่ในแผ่นฟิลม์ฺ และหน้าหนังสือเท่านั้นนะ คนในเหตุการณ์นั้น ก้กลับมากลายเป็นนักการเมืองที่เห็นแก่ตัวและกอบโกยผลประโยชน์ ช่างน่าเสียดายอุดมการณ์ที่พวกเขาเหล่านั้นเคยมีเมื่อสมันยังเยาว์วัย ไม่รู้ว่าความดีของพวกเขาถูกกาลเวลาชะล้า หรือ ว่าพวกเขาเป็นเพียงคนชั่วที่แอบอ้างเป็นคนดีเท่านั้น

ที่เขียนมาทั้งหมดเพียงสงสัยว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า " ปัญญาชน" ไม่ว่าจะในสังคมไหน ดูเหมือนว่าบทบาทของนักศึกษาได้เปลี่ยนแปลงไป ทำไม หลายสิบปีก่อนคำว่า " อุดมการณ์" มันถึงมีพลังอัดแน่นอยู่ในตัวของนักศึกษา จนสามารถทำหน้าที่เป้นแรงขับดันให้พวกเขากล้าออกมาแสดงความ รักชาติ และชักนำให้ประชาชนได้ออกมาปกป้องผลประโยชน์องประเทศได้ แล้ว
ทำไมตอนนี้ พลังเหล่านั้นมันได้หายไปจากพวกเขาเหล่านั้น?
มันก็คงมีปัจจัยหลายอย่าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราสงสัย หรือมันเป็นเพราะมี "พลังมืดบางอย่างในความรุ้ที่เราเรียนกันเข้าไป"?
คนมากมายบ่นว่ายิ่งเรียนยิ่งโง่ ยิ่งเรียนยิ่งไม่รู้ เป็นเพราะในห้องเรียน ในตำรา มันแอบแฝงพลังมืดอะไรเข้าไปข้างในโดยที่เราไม่รุ้ตัวรึเปล่า?
เราเรียนเพียงเพื่อที่จะไม่รู้ เรา้เรียนเพียงเพื่อเอาความรู้มาสร้างกำแพงให้เราโง่เขลามากขึ้นรึเปล่า?
เรามีความรู้มากแต่เราคิดไม่เป็น แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรทีเราจะเอาปริญญามาติดฝาบ้าน?
แล้วสังคมเราก้ได้บัณฑิตใหม่ออกมาเป็นประชาชนที่ด้อยคุณภาพ ประเทศเราเลยเจริญลงทุกวันทุกวัน ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มองภาพรวมแล้วมันเหมือน เป็น วงกลม เป็นวงจรอุบาศ์ ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างแยบยลของกลุ่มคนที่มีอำนาจและหวังจะครอบครองอำนาจนั้นไว้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง มันแลดูแย่จัง หรือถ้ามันไม่ใช่การวางแผนอย่างแยบยลของกลุ่มคน มันก็อาจจะเป็นความโง่เขลาของคน และความโลภของในตัวมนุษย์ แบบนี้ยิ่งแย่ลงไปใหญ่ แล้วเราจะแก้ยังไง ?

มีคนมากมายคิดว่า ถ้าไอ้นักการเมืองเลวๆ ตายไปหมดก็คงดี อืม .. ชั่วโมงนี้ความคิดแบบนี้มันก็ไม่เลวนะ เร็วดี ตรงจุดดี แต่ มันไม่ได้แก้ปัญหาที่ราก เพราะไม่มีใครรับประกันได้ว่า นักการเมืองรุ่นใหม่ที่มันจะเข้ามา มันจะไม่เลวเหมือนกัน ..
ถ้าความเลวมันเป็นเหมือนไวรัสที่แอบแฝงอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคนละ ...ถ้ามันอยู่ในตัวเราตั้งแต่เกิด มันอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน ฆ่าไม่ตาย เพราะความตายไม่ได้ทำให้คนหายเลว
ความโลภ ความอยากได้ มันก็มาพร้อมกับอำนาจนั่นละ มันเป็นธรรมดาของคน เราทำอะไรไม่ได้ ถ้าจริยธรรมมันไม่ได้เจริญงอกงามในตัวของคนคนนั้นจนสามารถป้องกันความเลวได้ มันก็อย่างที่เขาว่านั่นละ คนเก่งแต่ไม่ดี สังคมก้ฉิบหาย คนเก่งมันสร้างไม่ยากหรอก แต่คนดีนี่ซิ สร้างยังไง ?

สรุปสังคมไทย หรือ จีนก็ยังคงต้องการการชี้นำ แต่พลังอันบริสุทธิ์ของ ปัญญาชน ตอนนี้ มันเปลี่ยนไปแล้ว กาลเวลาและอำนาจมืดบางอย่าง ล่อหลอมให้คนกลุ่มที่เป็นความหวังเปลี่ยนไป ไวรัสในตัวแลมันจะออกฤทธิ์เร็วขึ้นเรื่อยๆ

ก็ได้แต่หวังว่า จะมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป

...
บ่นบ้าตามประสาคนเพิ่งตื่น

ไม่มีความคิดเห็น: