2552/01/31

ล่องลอย

S G N . . .

ชีวิตที่แสนจะเรื่อยเปื่อยในสิงคโปร์


From singapore




From singapore




From singapore



From singapore



From singapore



From singapore



From singapore



From singapore

2552/01/30

Jelly fish

Tonight , Feel like wanna be a jelly fish ....

No body , No brain , No heart

i don't wanna think about anything , don't wanna feel anything . don't wanna exist in this world anymore .

don't understand myself , it may be because i am so tried today.

today i am sitting and seeing the leaf fall , why big city always crowded with lonely people !!!

i am tried to pretend to be strong......


don't know why i am sad tonight ... i don't know i just feel like that


just another night


2552/01/26

Hi!! Singapore

WAhaha~~~

welcome to Sigapore !!

Arrive here yesterday after spending time in my grandpa hometown in Hainan for a week , finally come back to normal life in big city again ~~~

Surely !!! the first things that i need "Coke and Internet" ...

For a week ,living without Coke and Internet feel like my life two year shorter haha

Many stories in the rural area in HAinan during Chinese new year which i am now writtingt ,hoping to share my experience soon.(if i am not too lazy):P

Anyway ,

Here are some pics in SGN , yesterday my sister and me are very lucky to take the Singapore flyer without waiting in a long line....





lazy ~~~~~

Dream

2552/01/17

Haninan - Sanya

My lonely trips in Hainan - Sanya

Not fun but happy . . .

มีเพียงตัวฉัน และคนแปลกหน้ามากมาย
การเดินทางที่แสนเหงา แต่ก็มีความสุขดี
แต่คงจะดีกว่านี้ ถ้าไม่ได้มาเพียงลำพัง


From Hainan-Sanya


From Hainan-Sanya



From Hainan-Sanya



From Hainan-Sanya



From Hainan-Sanya



From Hainan-Sanya



From Hainan-Sanya

2552/01/04

สอบฉัน วัดอะไรเหรอ

สอบ สอบ สอบ

สอบมาก็หลายปี สอบมาตั้งแต่ อนุบาล ปฐม มัธยม มหาลัย

วัดอะไรวะ ออกจากห้องมาก็ลืมหมด เกรดออกมาสวย ตั้งแต่ ประถม ยัน สิ้นสุดมัธยม แต่ ก็ไม่เห็นได้อะไรเลย

มหาลัย กับ มหาลัยฟูตั่นอันแสนโหดร้าย อ่านไปเถอะ ออกจากห้องสอบมาจำได้หมด แต่ เกรด ไม่เคยเห็นดีเลย

มัน วัด อะไรวะ

วันนี้สอบ เรือง เศรฐสาสตร์ทางสังคมวิทยา ถาม ชื่อคนคิดทฤษฎี และ คนเขียน
เออ ไม่รู้ว่า เขา อยากวัดอะไรเหรอ ? ความจำ ชื่อ คน งั้นเหรอ แล้วทั้งเทอมจะเรียนมาทำไมวะ

ช่างเหอะ .. เหนือการควบคุม ทำไปแล้ว ค่อยว่ากานอีกที

ชีวิตคนเรามันจะอะไรหนักหนาใช่มั้ย

เซี่ยงไฮ้ ฝนตก อีกแล้ว
อากาศเย็นมาก ซึมเข้าทุกอณูของผิว
อากาศแบบนี้มันทำให้ฟังเพลงเพราะขึ้นหรือเปล่า

หรือ เรา คิดไปเอง

เขียนอะไรวะเรา งง งง ง่วงๆๆ

กูดไนท์

2552/01/02

รักชาติ? ไม่รักชาติ?

คำถามที่วิ่งวนอยู่ในหัวเมื่อเช้านี้ หลังจากการสนทนากับรุ่นพี่คนนึง

คุณเป็นคน รักชาติ ? หรือ เป็นคนไม่รักชาติ ?

อีกคำถามที่อยากถาม " แล้ว ชาติ มันคืออะไรเหรอ " ?

ภาษา วัฒนธรรม ดินแดน ธง สี เสื้อที่ใส่ .... อะไรเหรอ ?

สมัยยุคหินก็ไม่เห็นมีคำคำนี้ ทุกคนเป็นพี่น้องกัน เป็นเพื่อนกัน มีแค่โลกใบเดียว

แต่ ความแตกต่าง มันก็นำมาซึ่งความแตกแยกนั่นแหละ ภาษา สีผิว หน้าตา ดินแดน มันคงเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ทั่วไปรึเปล่า ที่จะรู้สึกต่อต้านอะไรที่มันไม่เหมือนกับตัวเอง

แต่

ถ้าความแตกต่างเหล่านั้น ผ่านกระบวนการ ห่อหุ้ม แปลงรูปโฉมใหม่ ใส่มายาคติลงไป การแตกต่างนั้นก็จะสามารถกลมกลืนเข้าไปได้อย่างง่ายดายมากขึ้น เอาละ มายกตัวอย่าง รูปธรรมกันให้เห็นชัดเจนดีกว่า

ภาษา อังกฤษ คนทั่วโลกเรียนภาษาอังกฤษ คนไทยก็ต้องเรียนภาษาอังกฤษ มันเป็นผลมาจาก ประวัติศาสตร์ ที่เรารับเข้ามาจากฝรั่ง เพราะเรา มีนิสัย อ่อนน้อม รักความสงบ ซึ่งนั่นมาจากพิ้นฐานทางศาสนาประกอบด้วย เมื่อฝรั่งมันเข้ามา เอาปืนมาจ่อหัวเรา แล้วบอกว่า

" เฮ้ พวก ยูนี่โง่ นะ ต้องเรียนรู้จาก ไอ นะ"

" เราก็ ต้อง พยัก หน้า เย ส เยส " เพราะไม่งั้น นอกจากมันจะเอาแผ่นดินไปแล้ว มันยังจะเอาชีวิตเราไปด้วย

โอเค ดังนั้นทุกที่ทั่วโลกที่โดนพี่ฝรั่งเอาปืนไปจ่อหัว ก็ต้องเรียน ภาษา ก็ต้องยอมรับวัฒนธรรม ต้องยอมค้าขายกับมัน มันก็เป็นที่มาของ Globalization ที่เกิดทั่วโลก

อย่างเมืองจีน คิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลก ในขณะที่ฝรั่งมันเอาเรื่อกับปืนมาจ่อถึงที่แล้ว ด้วยพื้นฐานทางนิสัย ที่เขาเชื่อมันในตัวเองสูง และ อีโก้ มันทำให้เขาไม่เสียดินแดน ไม่ถูกฝรั่งครอบครองประเทศ แต่ นั่นหมายความว่า คุณต้องแลกมาด้วย ชีิวตมากมาย ซึ่งไม่มีใครประเมินได้หรอกว่า คุ้ัมหรือ ไม่ แต่ถ้าถามเรา มันไม่คุ้มหรอก สำหรับเหตุผล เราจะตอบ ด้านล่าง

กลับไปที่ Globalization โอเค ที่มาของมันมีมาตั้งแต่ประวัติศาสตร์ และเป็นมาเรื่อยๆ การเรียน ภาษาอังกฤษ ของคนไทย ก็หมายถึงว่า เราถูกควบคุม ด้วย พลังมืดของภาษาอยู่แล้ว ทุกวันนี้ คนไทยเรียนภาษาอังกฤษ และมีค่างนิยม ชื่นชมคนที่พูดได้หลายภาษา และทำอะไรก็ได้่ที่ไม่เป็นไทย มันก็ " มายาคติ "ที่ห่อหุ้ม พลังมืดเอาไว้นั่นแหละ ฝรั่งมันไม่ได้ เอาปืนมาจ่อให้เราพูดแล้ว แต่มัน เอา สื่อ มาหลอกเราแทน ซึ่งนั้นง่ายอยู่แล้ว เพราะ ไ่ม่ว่า ฝรั่งจะพูดอะไร เราก็ เชื่อเขาอยู่แล้ว และที่มันเป็นอย่างนั้นมันก็มีสาเหตุนะ

ประวัติศาสตร์ นั่นแหละ เพราะฝรั่งทำให้เรารู้สึกว่า เรา ตามเขาตลอดเวลาไง เขาให้เราทำในสิ่งที่ไม่ถนัด เพราะฉะนั้นเราก็ไม่มีทางชนะเขาได้หรอก ง่ายๆนะ บ้านเราเป็นเมือง เกษตร แต่ ฝรั่งมัน ใ้ห้เรา ทำ อุตสาหกรรม มันบอกว่า นี่แหละ เขาเรียกว่าการพัฒนา อ้าว โอเค คนเคยจับ จอบ จับ เสียม ก็ต้องทิ้ง ไปเป็นพนักงานโรงงาน อาชีพเปลี่ยน พื้นฐาน ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวก็เปลี่ยน ค่าทางความคิดมันก็เปลี่ยนไง จากการที่กินอิ่ม นอนหลับ ก็พอ มันก็กลายเป็นไม่พอไง มันต้องมีเงินด้วย เงินก็เอาไป ซื้อ มือถือ ซื้อรถ ซื้อน้ำมัน จากไอ้พวกนายทุนฝรั่ง อีกที สรุป วนไปเวียนมา กลายเป็น วงจร ความจน ของคนไทยรากหญ้า

ค่านิยมในการอัพเกรดฐานะ มันก็มาจาก มายาคติ ที่ีมากับ โทรทัศน์และ จานดาวเทียมนั่นแหละ การที่เราต้องเรียนหลายภาษา มันก็คือ การตอบสนองความต้องการของตลาด เพื่อไปเป็นทาส ของนายฝรั่ง อีกที เพราะถ้าเีรียนและพูดได้หลายภาษา ก็จะได้งานดีดี เงินดีดี จะได้เอาไป ซื้อ มือถือ ซื้อรถ ซื้อบ้าน ซื้อน้ำมัน อ้าว สรุปก็วนไปเวียนมาก ไม่พ้นวงจร อุบาท อยู่ดี

ทุกอย่าง มันเกิดมาจาก ความหลง การเสพสื่อ โดยไม่มีสติ และสังคมกบในกะลา ของคนไทยด้วย
เราคิดน้อยไป คิดสั้นไป คิดไม่จบ และคิดอยู่ คอนเซปเดียว เราไม่กล้า คิดต่าง เพราะเรากลัว " โดนสังคมเหวี่ยง "

จริงๆ แล้วมันคงไม่พ้นที่จะสาวไส้ไปถึงการศึกษาไทย กระทรวงลูกเมียน้อย ที่ของ รัฐมนตรีเก้าอี้เหลือ ก็โยนมาที่นี่ คงเป็นเพราะ ค่า หนังสือเรียน ของเด็กไทยมันคงกินไม่ค่อยอิ่มกระมั้ง!! ใครมาเป็นก็บอกว่าจะปฏิรูปการศึกษา ถามหน่อยเถอะว่า อย่างไรเหรอ ? เลียนแบบฝรั่งให้มากที่สุด ก็เห็นไปแล้ว มันไม่เหมาะกับบุคลิกเด็กไทย เรียนแบบพี่ไทยจ้าโงรงเรียนวัดนู้น มันก็เป็นไปไม่ได้ มันไม่สอนให้คนกล้าคิด เราว่าน่าจะรู้จัก ปรับบ้างนะบ้างนะ รับของฝรั่งมาปรับใช้ เอาเท่าที่ทำได้มาแก้ไขข้อเสียเรา อย่างนี้ก็น่าจะดีกว่า

แต่ ก็น่าสังเกตนะ พวกคนเอเชีย แมร่งเรียนโคตรหนัก เรียนยากสุดๆ เพื่อไปเป็น ทาสในบริษัท ที่พวกฝรั่งเรียนชิวชิว เพื่อมาเป็นเจ้านาย คือ เราว่าเขาออกแนวสอนให้คน ฉลาด มากกว่า เก่ง อย่างเดียว

แต่ก็นั่นละ มันก็ยังคนเป็นเรื่องของมายาคติ ที่คุณฝรั่งแสนฉลาด สร้างขึ้นมา แล้ว ส่งผ่านสื่อ ผ่านการค้า เข้ามาแหละ เราจะไม่รับก็ไม่ได้หรอก มันเป็นแรงดันมหาศาล ถ้าต้าน ก็มีแต่เละ

อ้าว เขียนมาตั้งเยอะ แล้วเกี่ยวอะไรกับหัวข้อ มั้ยเนี้ย ?

ก็นั่นแหละ ที่เขียนมาทั้งหมดก็ พยายาม นิยามคำว่า " ชาติ " อยู่
ถ้าคำว่า ชาติ มันก็คือมายาคติละ
ถ้าคำว่า ชาติ มันก็คือ เครื่องมือ ของคนมีอำนาจ ที่ใช้ควบคุมเราละ
ถ้าคำว่า ชาติ มันเป็นภาพลวงตา มันเป็นสิ่งสมมุติ

แล้ว เรา จะ รักอะไรละ ?? !!!

ไม่ได้บอกว่า ไม่ต้องรักชาตินะ "ชาติ รักมากไปก็ไม่ดี แต่ จะไม่รักเลยก็ไม่ได้" นี่เป็นคำพูดของรุ่นน้องรัฐศาสต์คนหนึ่ง ที่เราต้องบอกว่า ถูกมาก มาก

นั่นละ มันเป็นสิ่งที่บอก identitiy พื้นฐานของเราไง มันเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสำหรับคนในสังคม มันเป็นตัวแปรพื้นฐานของการขับเคลื่อนกระบวนการทุกอย่างในสังคม เออ พูดไปแล้วเดี่ยวจะไกล

สรุปที่ว่า เราต้องแยกให้ออกว่า อะไรคือ เนื้อแท้ และ อะไร คือมายาคติ ที่ห่อหุ้ม ความรัก เหล่านั้น

การยึดมั่น ถือ มั่น มันจะทำให้เรา เอาตัวเองไปตัดสินคนอื่น และนั่นละ มันจะทำนำมาซึ่งความรู้สึกแตกต่าง และนำไปสู่การแตกแยกในที่สุด




คิดไม่ตกหรอก แต่รู้สึกได้ และอยากระบายเท่านั้นเอง

ผานิตดา

2552/01/01

ปีใหม่ ๒๕๕๒

๓ มกราคม ๒๕๕๒

สวัสดีปีใหม่ ... ไดอารี่ที่รัก

หนึ่งปีที่ผ่านพ้นไป ต้องเรียกได้ว่า ปีที่แล้วเป็นปีแห่งการเดินทางจริงๆ ชีิวิตทำอะไรเยอะแยะมากมาก การได้เดินทางไปในที่แปลกใหม่ ทำให้ได้พบปะผู้คนมากมาย และโชคดีจริงๆ ที่ผู้คนเหล่านั้น ล้วนเป็นมิตรภาพดีดี จนทำให้รู้สึกว่า Love is all around my life จริงๆ

หลายคนชอบบ่นว่า ปีใหม่แล้ว แปปเดียวจริงๆ แต่ ปีที่แล้ว สำหรับเรารู้สึกว่า มันน้านนานนะ อาจจะเป็นเพราะว่ากิจกรรมที่เราทำมันแตกต่างกันออกไปรึเปล่า เราทำอะไรเยอะมาก จน รู้สึกว่าไม่ได้ทำรึเปล่า ฮ๋าๆๆ

ถ้ามองในภาพรวมแล้ว ปีที่แล้วถือเป็นปีทีมีความสุข และโชคดีสำหรับเราเลยละ

ไฮไลท์ ที่นึกออก ขึ้นบ้านใหม่ ญาติใหม่ที่ไฮหนาน ฝึกงานที่เชียงใหม่ เพื่อนใหม่จากแคนนาดา และ ได้ทุนฟูตั่น อืม ม ถือว่า ประสบความสำเร็จทั้งในการเีรียนและ ชีวิตอยู่เนาะ

ส่วนเรื่องๆ แย่ๆๆ เนี้ย นึกไม่ออกแหะ ..ดีแล้ว

ตามธรรมเนียม หน้าหนึ่งของไดอารี่ทุกปี ก็มักจะเต็มไปด้วยเรื่องราวของความตั้งใจต่างๆ ปีนี้ มีโครงการในหัว ไม่มาก แต่ก็อาจจะเพิ่มขึ้นตามเวลา แต่เอาเป็นว่า

ขอให้เป็นปีแห่งความสงบสุข ของชีวิต มีสติ มีสมาธิ และทำปัจจุบันให้ดีที่สุด


ปีนี้ นึกไม่ออกว่าตั้งใจอยากจะทำอะไร แต่ที่ ขอเริ่มต้นปีด้วยการทำทุกอย่า่ง อย่างเต็มที่ โดยไม่คาดหวัง สิ่งทีีได้กลับมาถือเป็นของขวัญละกาน


สวัสดีปีใหม่นะดรีม
ขอให้มีสติ และมีความสุขกับสิ่งที่มีและสิ่งที่เป็นนะ
อย่าคิดถึงอดีต อยู่กับปัจจุบัน สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ

ยิ้ม ม ม